Carnivore vs. Ketogenic ต่างกันอย่างไร ?

Carnivore vs. Ketogenic

หัวข้อบทความ

Carnivore vs. Ketogenic เป็น 2 วิธีลดน้ำหนักยอดนิยม โดยทั้งสองวิธีนี้สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะมีหลักการรับประทานและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ซึ่งผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด เพื่อการลดน้ำหนักที่ได้ผล ในบทความนี้เราจะนำวิธีลดน้ำหนักแบบ Ketogenic Diet และ Carnivore diet มาเปรียบเทียบแบบเจาะลึก เพื่อให้คุณได้ทำความรู้จัก และเลือกใช้ลดน้ำหนักกัน โดยคุณจะได้ศึกษาเกี่ยวกับ ลดน้ำหนักแบบ Carnivore Diet คืออะไร, ลดน้ำหนักแบบ Ketogenic Diet คืออะไร, Carnivore vs. Ketogenic ต่างกันอย่างไร ? และ ข้อควรรู้ก่อนทำ Ketogenic Diet และ Carnivore diet ถ้าพร้อมแล้ว ไปติดตามกันได้เลยในบทความนี้


ลดน้ำหนักแบบ Carnivore Diet คืออะไร

ลดน้ำหนักแบบ Carnivore Diet คืออะไร

หลายคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยินวิธีลดน้ำหนักแบบ Carnivore Diet หรือกำลังสงสัยว่า Carnivore Diet คืออะไร? ซึ่งวิธีลดน้ำหนักแบบ Carnivore Diet คือการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นหนักไปทางเนื้อสัตว์ เพื่อให้อาหารที่คุณทานเข้าไปนั้นอยู่ท้องมากที่สุด และกฎเหล็กในการทานอาหารแบบ Carnivore diet คือไม่รับประทานผัก หรือผลไม้ และเน้นการหยุดทานเมื่อรู้สึกอิ่ม โดยในแต่ละวันจะมีการกำหนดแคลอรีอย่างชัดเจน ไม่ใช่การทานอาหารไปเรื่อย ๆ หรือรับประทานตามความต้องการอีกต่อไป

ตัวอย่างเมนูที่คุณสามารถทานได้หากทำ Carnivore diet ได้แก่ เนื้อสัตว์ทุกชนิด, ไข่, เนยสด, เครื่องในสัตว์, น้ำเปล่า, กาแฟดำ หรือน้ำซุปจากกระดูกสัตว์ สิ่งที่อยากชวนให้ผู้อ่านสังเกตคือ เมนูเหล่านี้จะไม่แค่การรองท้องให้กับผู้ทานอาหาร แต่เป็นการทานเพื่อให้อิ่ม พร้อมกับอยู่ท้อง ไม่ทำให้ผู้ทานรู้สึกหิวอีก นี่จะเป็นแก่นของการทานอาหารแบบ Carnivore diet 


ลดน้ำหนักแบบ Ketogenic Diet คืออะไร

ลดน้ำหนักแบบ Ketogenic Diet คืออะไร

Ketogenic Diet คือ การลดน้ำหนักด้วยการเลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลให้น้อยมากที่สุด แต่ยังกินผักใบเขียวได้ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการจำกัดปริมาณแคลอรีให้เหมาะสมกับขนาดของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่พอเหมาะ ไม่มาก หรือน้อยเกินไป เป็นหนึ่งในเทรนด์การทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการกินคีโตนั้นสามารถทำให้เห็นผลลัพธ์ได้จริง และไม่ต้องใช้ระยะเวลานานมากอีกด้วย

ใครบ้างที่เหมาะกับการกินคีโต

แน่นอนว่าการกินคีโตเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และลดสัดส่วนในพื้นที่ที่มีไขมันสะสม แต่นอกจากนี้แล้วการกินคีโตยังเหมาะกับผู้คนต้องการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เพราะการจำกัดสารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง และป้องกันโรคร้ายอย่างโรคหัวใจ หรือเบาหวานได้อีก อย่างไรก็ดีการกินคีโตอาจจะไม่เหมาะกับเหล่านักกีฬา หรือผู้ที่ต้องการสร้างมวลกล้ามเนื้อ เพราะร่างกายในช่วงที่กินคีโตจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นเอง


Carnivore vs. Ketogenic ต่างกันอย่างไร ?

Carnivore vs. Ketogenic ต่างกันอย่างไร ?

วิธีการลดน้ำหนักทั้งสองรูปแบบต่างกันตรงที่ Carnivore diet ที่จะเน้นการรับประทานอาหารที่มีวัตถุดิบเป็นเนื้อเพื่อให้อยู่ท้อง แต่สำหรับการกิน Ketogenic Diet หรือการกินคีโตคือ การลดปริมาณแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต รวมถึงน้ำตาลให้ได้มากที่สุด ยิ่งไม่ทานเลยยิ่งเป็นเรื่องดี โดยเงื่อนไขในการรับประทานอาหารของคีโตจะสามารถทานผัก และผลไม้ได้ตามปกติ

แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างการทำ Ketogenic Diet และ Carnivore diet ที่ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกทานอาหารแบบใด สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำคือการควบคุมปริมาณแคลอรีให้ไม่มากเกินความจำเป็น เพราะนี่เป็นหัวใจหลักเลยทีเดียวที่หลายคนมักมองข้าม 


ข้อควรรู้ก่อนทำ Ketogenic Diet และ Carnivore diet

ข้อควรรู้ก่อนทำ Ketogenic Diet และ Carnivore diet

อย่างก็ตามก่อนที่จะเริ่มการไดเอทก็มีข้อควรรู้ที่คุณควรรู้ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกทำ Ketogenic Diet หรือ Carnivore diet ต้องรู้ก่อนว่าอันตรายหรือไม่? เพราะอาจส่งผลกระทบสุขภาพและร่างกาย จากการเลือกรับประทานอาหารโดยจำกัด หรือหลีกเลี่ยงสารอาหารบางประเภท ถึงแม้จะไม่ได้ทำการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ตลอดทั้งเดือน แต่เพียงแค่ 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้งระบบภายใน และร่างกายได้เช่นเดียวกัน


1. ท้องผูก

สำหรับผู้ที่ตัดสินใจเลือกทำ Carnivore diet อาจจะเสี่ยงต่อการเป็นท้องผูกได้ง่ายมากกว่า Ketogenic Diet เพราะกฎเหล็กของการทาน Carnivore diet คือการรับประทานเฉพาะเนื้อสัตว์ หรือวัตถุดิบที่มาจากเนื้อ เพื่อทำให้อิ่ม และอยู่ท้องได้นาน โดยที่หลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ไปเลย แน่นอนว่าเมื่อร่างกายมีไฟเบอร์ต่ำ ก็ทำให้กระบวนการขับถ่ายเกิดปัญหา อุจจาระมีความแข็ง และแห้งเกินไป ส่งผลให้การขับถ่ายของคุณนั้นเป็นเรื่องยาก และลำบาก ใครที่อยากทำ Carnivore diet อาจจะต้องหาวิธีรับมือกับปัญหานี้ด้วยการดื่มน้ำให้มาก ๆ หรือหลังจากที่จบคอร์สนี้ไป คุณจำเป็นต้องกลับมารับประทานผัก และผลไม้เพื่อเติมไฟเบอร์ให้กับระบบขับถ่าย ไม่งั้นก็อาจจะทำให้เป็นท้องผูกเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการมีโรคแทรกซ้อนได้ในเวลาเดียวกัน


2. ร่างกายขาดสารอาหาร

เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ การทำ Carnivore diet จะกำหนดไว้ว่ากินอะไรได้บ้าง อีกทั้งการรับประทานอาหารที่จำกัดทั้งเชิงปริมาณ และสารอาหารที่ได้ร่างกายจะได้รับ ย่อมส่งผลต่อร่างกายที่เกิดภาวะขาดสารอาหารตามลำดับ ในช่วงเวลาที่เข้าคอร์สการเลือกรับประทานอาหารอยู่นั้น อาจจะเป็นภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ อ่อนแอ และเป็นไข้หวัดได้ง่าย การดูแลรักษาตัวเองให้ดี ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอจึงเป็นเรื่องสามัญที่ต้องทำอย่างเป็นประจำ


3. จำเป็นต้องดูแลสุขภาพควบคู่กันไป

ใครที่คิดว่าการทำ Ketogenic Diet หรือ Carnivore diet ก็เพียงพอต่อการลดน้ำหนักแล้ว นี่ไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก เพราะการลดความอ้วนที่ดีคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทุกมิติของคุณใหม่ นอกจากเรื่องของการกินอาหารแล้ว คุณจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หันมาออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้น พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และสิ่งที่สำคัญแต่หลายคนมักมองข้ามคือการดื่มน้ำที่เพียงพอต่อวัน คุณจำเป็นต้องดื่มน้ำอย่างต่ำ 7-8 แก้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งที่คุณได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง แต่อาจจะยังทำไม่ได้ ให้รู้ไว้เลยว่าสิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้ร่างกายของคุณลดสัดส่วนได้เร็ว ยังช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ด้วย


4. คนท้องไม่แนะนำ

ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์บุตร หรือต้องให้นมกับลูกน้อย ไม่แนะนำให้ทำทั้ง Ketogenic Diet หรือ Carnivore diet เพราะร่างกายของคุณต้องการสารอาหาร และเพื่อให้น้ำนมของคุณมีประสิทธิภาพ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก


5. มีโรคประจำตัวต้องระวัง

ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นทุนเดิม จำเป็นต้องเข้าปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มทำ Ketogenic Diet หรือ Carnivore diet เพราะว่าบางโรคประจำตัวนั้นอาจไม่เหมาะกับการจำกัดสารอาหารที่ร่างกายได้รับ เพราะตามเนื้อหาข้างต้นที่ได้อธิบายไว้ว่าการจำกัดทั้งปริมาณแคลอรี และสารอาหารที่ร่างกายได้รับ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร และยังทำให้ภูมิคุ้มกันมากในช่วงเวลาดังกล่าว ยิ่งคุณมีโรคประจำตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อน และยิ่งจะทำให้โรคที่คุณมีอยู่แล้ว ยิ่งส่งผลรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงหากคุณจะกินอาหารเสริมลดน้ำหนักร่วมด้วย การเข้าพบแพทย์ และขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแผนการลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อให้แพทย์ได้แนะนำทางเลือกที่เหมาะกับคุณ


นี่เป็นเนื้อหาภาพรวมที่น่าจะทำให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับทั้ง Ketogenic Diet หรือ Carnivore diet รวมถึงเห็นความแตกต่างระหว่าง Carnivore Diet (CD) ต่างจาก Ketogenic Diet (KD) อย่างไร เมื่อคุณรู้แล้วว่าอะไรคือความแตกต่าง และข้อระวังในการลดน้ำหนักด้วยรูปแบบการจำกัดสารอาหาร และปริมาณแคลอรีจากทั้ง 2 รูปแบบ ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับร่างกาย และไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุล และทำตามแผนได้จริง


อ้างอิง

บทความที่เกี่ยวข้อง

รีวิว Vilena ตัวช่วยเด็ดของคนอยากหุ่นสวย เร่งเผาผลาญไขมันยืนหนึ่ง
รีวิว Vilena ตัวช่วยเด็ดของคนอยากหุ่นสวย เร่งเผาผลาญไขมันยืนหนึ่ง

รีวิว Vilena ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวดังบนโซเชียลของเด็ดและดี ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้นั้น จะมีสรรพคุณ วิธีการกินอย่างไร ที่จะทำให้พุงยุบไวมาดูกัน

รีวิว PRIMAYA S ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมเปลี่ยนหุ่นพังให้เป็นหุ่นปัง
รีวิว PRIMAYA S ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมเปลี่ยนหุ่นพังให้เป็นหุ่นปัง!

รีวิว PRIMAYA S ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมเปลี่ยนหุ่นพังให้เป็นหุ่นปัง! สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพและเพิ่มความสวยงามของรูปร่างร่างกาย

รีวิว PRAVE S ผลิตภัณฑ์ช่วยดูแลรูปร่าง สารสกัดสมุนไพร ช่วยเบิร์นx2
รีวิว PRAVE S ผลิตภัณฑ์ช่วยดูแลรูปร่าง สารสกัดสมุนไพร ช่วยเบิร์นx2

รีวิว PRAVE S ตัวช่วยลดน้ำหนักที่สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ลดความอยากอาหาร และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น