ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เห็นผลได้เร็วมากนักถ้าหากว่าคุณเองปฏิบัติมันอย่างไม่ถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักจำเป็นจะต้องอาศัยวินัยขั้นสูง และการมีเป้าหมายที่สูงจะต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ด้วย ดังนั้นแล้วเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือทริคการออกกำลังกายและใช้อาหารเสริมลดน้ำหนัก ถ้าคุณทำวิธีแบบผิด ๆ อย่างการกลับมาทำพฤติกรรมเดิม ๆ เช่น การกินอาหารไม่นับแคลอรี่ หรือออกกำลังกายไม่ถูกวิธี ก็จะยิ่งทำให้คุณกลับมาน้ำหนักขึ้นง่ายมากกว่าเดิมอีกครั้ง
สำหรับวันนี้เราจึงได้รวบรวมเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ “ลดน้ำหนักไม่ได้ผล” รวมไปถึง การวางแผนในการตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักและวิธีลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน กับเคล็ดลับการดูแลตัวเองไม่กลับไปอ้วนอีกครั้ง โดยข้อมูลทั้งหมดได้เรียบเรียงใหม่ ให้คุณได้ทำความเข้าใจง่าย เข้าถึงเรื่องลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งอยากทำตามด้วยวิธีดังต่อไปนี้ แต่ก่อนอื่นเลยก็ต้องมองหาสาเหตุก่อนเลยว่า ทำไมกันนะการลดน้ำหนักถึงยังไม่ได้ผล
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้การ ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน ไม่ได้ผล
เรื่องแรกเลยที่จะขอพูดถึงนั่นก็คือ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล นี่คือคำถามในใจของผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะบางคนกินน้อยแต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด ดูแล้วเหมือนน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ หรือบางรายอาจจะน้ำหนักเท่าเดิมหลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 1-2 เดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องย้อนกลับไปดูอีกว่า วินัยในการออกกำลังกาย การนับแคลอรี่ อาหารการกิน ว่าทำถูกวิธีหรือไม่ เพราะความตั้งใจคือสิ่งสำคัญของการลดน้ำหนัก ถ้าขาดไปแม้แต่วันเดียว ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น มันก็จะไม่เป็นไปตามที่หวัง แน่นอนเลยว่าสาเหตุหลักส่วนใหญ่ที่ทำให้ลดน้ำหนักไม่ได้ มีดังต่อไปนี้
1. ขาดแรงบันดาลใจ
เรื่องสำคัญคือ การตั้งเป้าหมายที่จะลดน้ำหนัก มักจะต้องมีแรงบันดาลใจเสมอ เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก พร้อมทั้งแข่งกับตัวเองพอสมควร ถ้าหากว่าคุณเองมีแรงบันดาลใจมากพอใจในการที่จะตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง รับรองได้ว่ามันจะสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นการลดน้ำหนักก็เช่นเดียวกัน หากขาดแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่คนส่วนใหญ่แล้วลดน้ำหนักไม่ได้ผล อีกทั้งยังทำให้บางคนน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากความกังวลหรือความเครียดด้วยนั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่ควรจะมีตั้งแต่แรกคือแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก ตัวอย่างเช่น ฉันจะหุ่นล่ำ กล้ามโต หรือลดพุงให้ได้ภายใน 2 เดือน เป็นต้น
2. เข้าใจผิดเรื่องการกิน
เรื่องนี้หลายคนยังคงเข้าใจผิดอยู่บ้าง แต่ก็มีส่วนน้อย เพราะบางคนเข้าใจว่าผลไม้คือสิ่งที่จะทำให้ไม่อ้วน ต้องบอกเลยว่ามีคนที่คิดแบบนี้เยอะ เพราะถูกมองเป็นอันดับแรก ๆ เลยว่ากินผลไม้แล้วไม่อ้วน แต่ทว่าเรื่องจริงแล้ว ผลไม้บางอย่างก็มีน้ำตาลสูง ให้พลังงานอยู่ไม่น้อย และยังขึ้นอยู่กับว่าเรากินไปมากน้อยแค่ไหนด้วย ตัวอย่างเช่น ส้ม 1 ผล มีพลังงานเท่ากับกินข้าวสวย 1 ทัพพี หรือกล้วยน้ำว้า 1 ลูก กล้วยหอมครึ่งลูก สับปะรด หรือแตงโม จะเท่ากับการกินข้าวสวย 1 ทัพพีเช่นเดียวกัน ลองคิดดูกันว่าตอนเย็นใครที่ไม่กินข้าว แต่เลือกที่จะกินส้ม 5 ผลแทน ก็เป็นอะไรที่น่ากลัว
อีกหนึ่งประเภทอาหารที่มีความเข้าใจผิดนั่นก็คือ อาหารผัด อาหารทอด อาหารจานเดียว เช่น ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ผัดกะเพรา เป็นต้น โดยอาหารจำพวกนี้จะมีน้ำมันอยู่เยอะมาก แคลอรี่ก็เยอะตามมาด้วย ส่วนพวกเครื่องดื่มต่าง ๆ บางคนก็จะชอบกิน ชาไทย ชาเขียว หรือชานมไข่มุก บอกเลยว่าพวกนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นสูตรหวานน้อยยังไงก็อันตราย บางคนจึงอาจเลือกใช้สูตรลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด เพราะมีการวิจัยออกมาว่าวิธีนี้ช่วยลดได้จริง
3. ไม่อยากออกกำลังกาย
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลหลักเลยที่คงต้องย้อนกลับไปดูเรื่องความสม่ำเสมอของการออกกำลังกาย แน่นอนว่าเราสามารถลดน้ำหนักได้ด้วยการไม่ออกกำลังกาย แต่ถ้าหากแคลอรี่ที่กินเข้าไปเยอะกว่าการเผาผลาญล่ะก็ บอกเลยว่าเกิดไขมันสะสมอย่างแน่นอน การขี้เกียจ หรือไม่อยากออกกำลังกายตามตารางที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็จะทำให้ขาดวินัยในเรื่องนี้ไป แล้วน้ำหนักจะไปลดลงได้อย่างไร อย่างไรก็แล้วแต่ควรหาเวลาสัก 10-30 นาทีในการออกกำลังกายให้เคยชินเอาไว้จะดีมาก
4. ความเครียด ลืมตัวกินไปอย่างหนัก
ปัญหาของคนวัยทำงาน คือ การทุ่มเทเกี่ยวกับงานที่ทำเป็นอย่างมาก ทำให้บางครั้งก็อาจจะเกิดความเครียดสะสมตามมา แน่นอนว่าความเหนื่อย เมื่อยล้า มักจะหาทางออกด้วยการกิน ไม่ว่าจะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือต้องออกไปพบปะลูกค้า ความหิวหรือการกินขณะขับรถ ก็เป็นพฤติกรรมที่คุณอาจจะลืมตัวไปว่า เรากำลังลดน้ำหนักอยู่ ทางออกสำหรับเรื่องนี้ก็มีหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ดูการ์ตูน หาคอนเทนต์สนุก ๆ ดูคลายเครียดแทน บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควบคุมค่อนข้างจะยาก เพราะบางครั้งหลายคนลืมตัวกินแหลกก็มี ไม่รู้ว่าหิวมาจากไหน คิดได้อีกทีก็กินหนักไปเสียแล้ว
5. ความคิดท้อในการลดน้ำหนัก
สำหรับบางคนนั้นมีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนัก มีความหวังที่จะทำให้น้ำหนักลด ขออธิบายแบบนี้ว่า แต่ละคนนั้นระบบร่างกายมีการเผาผลาญที่ไม่เหมือนกัน เพราะบางคนนั้นทั้งควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย มีวินัยดี แต่น้ำหนักลดลงได้ไม่ถึงเป้าที่ตั้งเอาไว้สักทีก็เกิดความเครียด ท้อ ไม่มีความสุขไปเสียแล้ว แต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่า เมื่อเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นนี้ในทุกวัน สิ่งที่จะได้กลับมามากกว่าการลดน้ำหนักนั่นก็คือ สุขภาพที่ดีขึ้น ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะเรามีนาฬิกาชีวิตที่สมดุล เชื่อเลยว่าจะเป็นเรื่องดี ๆ มีมากกว่าเรื่องแย่แน่นอน หรือในอนาคตต่อให้น้ำหนักลดได้ตามเป้า คุณเองก็ยังต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกายแบบเดิมอยู่ดีนั่นแหละ
การมีที่ปรึกษาที่ดี หรือการมีข้อมูลที่ดี นับได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญของการลดน้ำหนัก เหมือนดั่งเป็นเพื่อนคู่ใจ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก็จะเป็นเรื่องดี เพราะบางครั้งสาเหตุที่น้ำหนักขึ้น อาจจะมีโรคอื่น ๆ แทรกซ้อนอยู่ด้วยนั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล ตามที่ต้องการ ดังนั้นแล้วเราจะต้อง วางแผน พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักอย่างชัดเจน และที่สำคัญที่สุด จิตใจต้องเข้มแข็ง แน่วแน่ว่าจะต้องทำให้สำเร็จ และทำมันอย่างต่อเนี่องด้วย
วางแผนและตั้งเป้าหมาย ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน
การวางแผนที่ดี มักจะมาพร้อมกับเรื่องที่ดีเสมอ เพราะเราเองจะคิดถึงทางออกของเรื่องต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน แต่สำหรับวันนี้ก็ต้องบอกเลยว่า เราได้มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย วางแผนในการลดน้ำหนัก นั่นก็คือ การใช้ SMART Goal Setting ซึ่งประกอบด้วยสิ่งสำคัญที่จะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จได้อย่างสวยงาม เหมาะมากเกี่ยวกับการใช้งานแบบจริงจังในเรื่องของการลดน้ำหนัก โดยระบบนี้จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
SMART Goal Setting ตั้งเป้าหมายสู่ความสำเร็จ
การตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ต้องการจะทำ คือ เรื่องที่จะเพิ่มความมั่นใจ กำลังใจให้กับผู้ปฎิบัติอย่างแท้จริง เพราะนี่คือเป้าหมายที่มีจุดหมาย การลดน้ำหนักก็เช่นกัน โดยตัวของ SMART Goal Setting ในคำว่า SMART จะประกอบด้วยความหมายดังนี้
ตัว S จะหมายถึง Specific
เป็นการกำหนดให้เฉพาะเจาะจงไปเลยว่า ต้องการออกกำลังกายประเภทไหน ให้เลือกการวิ่ง การเดิน ว่ายน้ำ ต่อยมวย เล่นเวท หรือจะไปเล่นโยคะ เป็นต้น จะให้คุณเลือกก่อนเลยว่าเจาะจงเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายแบบไหนที่สะดวกต่อการใช้ชีวิต
ตัว M จะหมายถึง Measurable
จะหมายถึงการกำหนดให้ชี้วัดได้ ทั้งในเรื่องความหนัก รวมทั้งระยะเวลาในการวิ่ง กำหนดเป็นแบบปานกลางคือ 30 นาทีต่อวัน หรือแบบหนัก คือ 1 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้คุณมีแผนการออกกำลังกายมากขึ้น
ตัว A จะหมายถึง Attainable
จะหมายถึงการกำหนดในสิ่งที่เราทำได้จริง เหมาะกับตัวเอง ตัวอย่างเช่นคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรจะตั้งเป้าหมายสั้น ๆ ที่ทำง่ายเสียก่อน เป็นจุดเริ่มต้น ตัวอย่างเช่นการเดินเบา หรือการวิ่งเบา ๆ สัก 10 นาที หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ตั้งเป้าให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับนั่นเอง
ตัว R จะหมายถึง Relevant
จะเป็นการกำหนดกิจกรรมที่ทำให้เข้ากับเป้าหมายระยะยาวในแผนของเรา ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการลดน้ำหนักอาจจะตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอก่อน เพื่อให้มีการเบิร์นไขมัน พร้อมทั้งลดน้ำหนักลงสักนิดหนึ่งก่อนให้เรามีกำลังใจ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มเป้าหมายในการออกกำลังกายมากขึ้น ตามรูปแบบอื่น ซึ่งใครที่มีน้ำหนักตัวสมส่วนอยู่แล้ว ก็เริ่มจากการเล่นเวทเทรนนิ่งก่อนก็ได้
ตัว T จะหมายถึง Timely
ตรงตัวเลยกับความหมายเรื่องเวลา เพราะจะเป็นการกำหนดตัวเลขระยะเวลาที่ชัดเจนว่า เราจะสามารถทำท่านี้ได้กี่นาที ทำวันไหนบ้าง ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าเอาไว้ว่าเราเองจะวิ่ง 30 นาที ทุกวันจันทร์ อังคาร เสาร์ เป็นเวลา 2 เดือน ถ้าครบ 2 เดือนแล้วเราจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ หรืออาจจะเพิ่มเป้าหมายต่อไป ตามที่เราต้องการกำหนดให้เป็น
เรียกได้ว่าการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal Setting นั้น ถือได้ว่าทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ไม่ยากนัก เพราะว่าการทำไปทีละขั้น มีแบบแผน เริ่มจากแบบเบาไปหาหนัก จะทำให้ร่างกายนั้นค่อย ๆ คุ้นเคย ซึ่งจะสร้างประโยชน์เป็นอย่างมากในการตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักให้ได้ตามที่หวัง สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้ นอกจากจะต้องทำเอง อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักเราจะต้องมีวิธีที่จะทำให้ได้ผลมากที่สุด ซึ่งจะต้องมีการควบคุมทุกเรื่องที่เป็นปัจจัยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั่นเอง เรื่องนี้ก็สำคัญด้วย
วิธี ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน ให้ได้ผลมากที่สุด
การลดน้ำหนักนั้นมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ ทั้งการใช้ตัวช่วยและการลดความอ้วนแบบธรรมชาติโดยเป็นการควบคุมปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่ เรื่องเกี่ยวกับการกินเป็นหลัก อาหารที่กินได้ อาหารที่ไม่ควรกินในช่วงที่ลดความอ้วน รวมไปถึง การควบคุมแคลอรี่ ความเครียด การพักผ่อน แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลให้น้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากว่าเราควบคุมได้ไม่ดีพอ โดยวันนี้ก็ได้หยิบยกเอามาแนะนำกันกับ 6 วิธีลดน้ำหนักให้ได้ผลมากที่สุด ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. อาหารที่คน ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน ไม่ควรกิน
เริ่มต้นกันด้วยอาหารที่มีรสหวาน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ กาแฟ หรือชา ล้วนแล้วแต่มีน้ำตาลแฝงอยู่เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว จึงขอแนะนำว่าในการทานอาหารทุกชนิด ควรงดหวาน หรือเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มแบบหวานน้อย ค่อย ๆ ลดลงทีละน้อยจนกลายเป็นคนไม่กินหวาน เพราะร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวันนั่นเอง
ส่วนอาหารประเภทต้องห้ามนั่นก็คือ อาหารประเภทมัน หรือทอด ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ อาหารที่มีปริมาณไขมันสูง ส่งผลเสียกว่าอาหารประเภทอื่น เพราะทั้งใช้น้ำมันในปริมาณที่เยอะมาก ร่างกายได้รับไขมันเกินความจำเป็น ดังนั้นคนที่ลดน้ำหนัก ต้องเปลี่ยนไปกินอาหารแบบต้ม ตุ๋น นึ่ง แทน จะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดโรคความดัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด เป็นต้น ถ้าคุณผ่านตรงนี้ได้เชื่อเลยว่าน้ำหนักลดอย่างแน่นอน เพราะปัจจัยเรื่องความอ้วนนั้นจะมาจากอาหารเหล่านี้
2. ควบคุมแคลอรี่อย่างเคร่งครัด
การจดบันทึกสิ่งที่กิน แล้วนำไปคิดแคลอรี่เป็นอีกเรื่องที่ควรจะทำ เพราะเราจะได้รู้ว่าในวันนี้เรากินอะไรไปบ้าง แล้วเผาผลาญไปครบหรือยัง โดยในปัจจุบันได้มีนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ รวมไปถึงแอปฯ ที่สามารถคำนวณแคลอรี่ได้ จะช่วยให้เรามีเป้าหมายในการออกกำลังกายในแต่ละวันมากขึ้น ซึ่งบางรายกินไปเยอะก็ต้องออกกำลังกายให้นานขึ้น เพื่อเบิร์นแคลอรี่ออกจากร่างกายให้มากที่สุดนั่นเอง
3. ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน ควรทานผัก ผลไม้ กับประโยชน์ที่เห็นผล
ผักกับผลไม้ เป็นหนึ่งในอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ พร้อมทั้งมีวิตามิน แร่ธาตุสูง อีกทั้งเรื่องสำคัญที่จะช่วยในการขับถ่ายของเสียก็คือ มีใยอาหารและไฟเบอร์สูงด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นอย่าง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อระบบย่อยอาหารดี ก็ยิ่งทำให้การลดน้ำหนักในตัวนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว แต่สำหรับผลไม้การทานมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นแล้วควรทานแค่พอเหมาะเท่านั้น
4. การพักผ่อน เพื่อร่างกายที่สมดุล
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะการควบคุมปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ฮอร์โมนไทรอยด์ ฮอร์โมนเพศ จะทำให้การกระตุ้นเกิดความอยากอาหารลดลง ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อย เมื่อเราพักผ่อนน้อย หรือมีความเครียดสะสม แน่นอนเลยว่าการพักผ่อนที่ดี จะทำให้ไม่เครียด พร้อมทั้งร่างกายก็จะสมดุลตามไปด้วยนั่นเอง
5. การทำอาหารกินเอง คุมปริมาณได้เอง
ข้อสุดท้ายจะเป็นเรื่องของอาหาร ที่จะแนะนำว่าถ้าหากอยากลดน้ำหนักให้ถูกวิธี พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็ว การทำอาหารทานเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยได้จริง เพราะการกินอาหารจากร้านข้างนอก เราไม่รู้เลยว่าส่วนผสมหรือการปรุงรส มีอะไรอยู่บ้าง เพราะส่วนใหญ่แล้ว ปริมาณน้ำมัน โซเดียม น้ำตาลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราอ้วนโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง แต่ถ้าเราทำกินเองก็จะได้เลือกวัตถุดิบที่ต้องการ พร้อมทั้งลดปริมาณไขมันได้ด้วยตัวเอง
ถ้าหากว่าคุณได้ทำตามทั้ง 5 ข้อนี้เป็นประจำอยู่แล้ว เชื่อเลยว่าจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงอาหารรสชาติหวาน การควบคุมแคลอรี่ การออกกำลังกาย การพักผ่อน การทำอาหารกินเอง ซึ่งแน่นอนว่าเป็น 5 วิธีเล็ก ๆ ที่คุณเองก็ทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าคุณเผลอออกนอกทางล่ะก็ อาจจะทำให้ร่างกายเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ได้นั่นเอง
เคล็ดลับการดูแลตัวเองไม่ให้กลับไปโยโย่
หลังจากที่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ “โยโย่เอฟเฟกต์” ไปแล้วนั้น แน่นอนว่า Yo-Yo Effect คือ ภาวะที่ร่างกายมีน้ำหนักตัวที่เด้งขึ้น เด้งลง พร้อมกับจบลงตัวน้ำหนักตัวที่มากกว่าตอนที่เริ่มลดเสียอีก ในบางรายอาจจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะควบคุมอาหาร หรือออกกำลังกายแล้วก็ตาม เนื่องจากภาวะนี้จะมีไขมันเกินร่วมกับมวลกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญนั้นทำงานผิดปกติด้วย
สำหรับต้นเหตุของการเกิด “โยโย่” นั้น มีเรื่องที่เคยได้ตักเตือนไปบ้างแล้วเกี่ยวกับ ข้อห้าม หรือ การเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น การใช้ยาลดความอ้วน ยาลดน้ำหนัก รวมไปถึงการอดอาหาร ที่ในช่วงแรกน้ำหนักจะลดจริง แต่เมื่อการสูญเสียกล้ามเนื้อไปแล้วนั้น ส่งผลให้ระบบการเผาผลาญไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อกลับมากินแบบปกติ ทำให้น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม แน่นอนเลยว่าวันนี้พวกเรามีเรื่องราวที่ต้องมาเตือนกัน กับ 8 วิธีการลดน้ำหนักที่จะทำให้คุณไม่เกิด Yo-Yo Effect นั่นเอง
- ในขณะที่ลดน้ำหนัก ให้ลดไขมัน และรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงที่
- อย่าอดอาหาร ไม่ว่าจะเป็นมื้อไหนก็ตาม
- ควบคุมปริมาณอาหารและแคลอรี่ที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ควรทำเป็นปกติ
- เปลี่ยนมาทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ หรือแคลอรี่ต่ำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วยขณะที่ลดน้ำหนัก โดยมีเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น 6 เดือนแรก ออกกำลังกายประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หลังจากนั้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น จึงเพิ่มเป็น 200 นาทีต่อสัปดาห์
- คอยตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่า น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง
- ควรพบกับนักกำหนดอาหาร อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อชี้แนะแนวทางในการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับบางคน ลดน้ำหนักภายใน 2 เดือน สามารถทำได้จริง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จริงจังเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี มีแรงบันดาลใจ มีความแน่วแน่ เชื่อได้เลยว่าการลดน้ำหนักของทุกคนจะไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องขอเตือนว่าอย่าหลงเชื่ออาหารเสริมลดน้ำหนักมากจนเกินไป และการลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติอย่าง การควบคุมอาหาร นับแคลอรี่ ออกกำลังกาย ลดความเครียด พักผ่อนให้เต็มที่ เป็นวิธีที่ได้ผลจริง
ส่วนใครที่กำลังทำได้ตามเป้าหมายแล้วก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย แต่อย่าลืมปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน รวมถึงต้องรักษาการกระทำแบบเดิมไว้ เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิด Yo-Yo Effect กลายมาเป็นส่งผลเสียต่อการลดน้ำหนักของเราได้นั่นเอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ การบอกลาไขมันส่วนเกิน ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย อย่างไรก็ตามใครที่กำลังลดนน้ำหนักอยู่ เราก็ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนทำได้และประสบความสำเร็จกันตามที่หวังเอาไว้ด้วยนะ
อ้างอิง
- 5 ข้อสุดฮิตที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่สำเร็จ. https://www.bangkokhospital.com/content/top-5-making-you-fail-to-lose-weight
- ลดน้ำหนักไม่ให้กลับมาโยโย่. https://www.bangkokhospital.com/content/lose-weight-without-yo-yo